Tag Archives: AAS

Anavar ยานายแบบ คืออะไรและดียังไง ?

หลายคนอาจจะเคยได้ยินกันมาบ้างว่า Anavar หรือที่เรียกกันว่า ยานายแบบ กินแล้วหุ่นจะลีนแบบหุ่นนายแบบ บทความนี้เรามาพูดถึงเจ้า Anavar กันว่า มันคืออะไร มีข้อดี และผลข้างเคียงยังไงบ้างครับ

Oxandrolone หรือที่เราเรียกกันว่า Anavar มันคืออะไร ?

Anavar หรือ Oxandrolone เป็นสเตียรอยด์ในกลุ่ม AAS (Anabolic Androgenic Steroids) ที่ถูกพัฒนาขึ้นในปี 1960 โดยบริษัท Searie ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของ Prizer เดิมทีถูกผลิตมาเพื่อใช้ในทางการแพทย์เพื่อรักษาภาวะสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ (Muscle Wasting) การฟื้นตัวหลังผ่าตัด และผู้ป่วยที่มีสภาวะขาดน้ำหนัก

Anavar ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่นักเพาะกาย นักกีฬา และนายแบบ เพราะมันมีอัตราส่วน Anabolic Androgenic สูง ประมาณ 322 – 630 : 24 หมายความว่ามันสามารถช่วยสร้างมวลกล้ามเนื้อโดยมีผลข้างเคียงจากฮอร์โมนเพศชายต่ำกว่าสเตียรอยด์ตัวอื่น

ข้อดีของ Anavar

  • ช่วยสร้างกล้ามเนื้อแบบไร้ไขมัน Lean Muscle

Anavar ไม่กักเก็บน้ำ ทำให้มวลกล้ามเนื้อที่เพิ่มขึ้นมาดูคมชัดและแข็งแรง เหมาะสำหรับใช้ในช่วง รีดไขมัน Cutting Cycle มากกว่าช่วงเพิ่มมวลกล้ามเนื้อแบบมหาศาล Bulking Cycle

  • ช่วยเผาผลาญไขมันได้ดี Fat Loss Effect

Anavar มีผลในการ เพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงาน Metabolism Rate และช่วยรักษามวลกล้ามได้ในช่วงไดเอท เหมาะสมกับนักกีฬาที่ต้องรักษาความแข็งแรงขณะลดน้ำหนัก

  • ไม่กดฮอร์โมนเพศชายหนักเท่าสเตียรอยด์ตัวอื่น

Anavar กด HPTA คือ ระบบผลิต Testosterone ตามธรรมชาติ น้อยกว่าสเตียรอยด์ตัวอื่น เช่น Deca หรือ Trenbolone

  • ไม่มีการแปลงเปลี่ยนเป็นเอสโตรเจน No Estrogenic Side Effects

Anavar ไม่ Aromatize ไม่เปลี่ยนเป็นฮอร์โมนเอสโตรเจน ทำให้ไม่มีผลข้างเคียงเรื่อง Gynecomastia หัวนมสาว และไม่มีการกักเก็บน้ำ

  • ผลข้างเคียงน้อยเมื่อเทียบกับสเตียรอยด์ตัวอื่น

Anavar ได้ชื่อว่าเป็น หนึ่งในสเตียรอยด์ที่ปลอดภัย โดยเฉพาะในกลุ่มผู้หญิง เพราะมีระดับ Androgenic ต่ำ

ผลข้างเคียงของ Anavar

  • ตับ Hepatotoxicity

Anavar เป็น C17-Alpha Alkylated Steroid ซึ่งอาจมีผลต่อตับหากใช้ในปริมาณสูงหรือใช้เป็นระยะเวลานาน แล้วควรเลี่ยงแอลกอฮอล์ และอาจใช้ Liver Support เช่น TUDCA หรือ NAC เอาไว้ช่วยเรื่องตับครับ

  • กดการผลิต Testosterone

แม้ว่า Anavar จะกดฮอร์โมนเพศชายต่ำกว่าสเตียรอยด์ตัวอื่น แต่หากใช้เกิน 6 – 8 สัปดาห์ ก็อาจทำให้เกิดภาวะขาด Testosterone ได้ครับ แนะนำให้มีการใช้ PCT หลังจากจบ Cycle

  • เพิ่อคอเลสเตอรอล Lipid Profile Issues

Anavar อาจเพิ่ม LDL ไขมันเลว และลด HDL ไขมันดี ควรมีการกินอาหารเสริม Omega-3 เข้าไปด้วยครับ

  • อาการข้างเคียงอื่น

ปวดหัว ความดันโลหิตสูง หากใช้เกิดขนาด อาจทำให้เกิดผมร่วงในบางคนที่มีพันธุ์กรรมผมบาง Androgenic Alopecia

Anavar ปริมาณที่ควรใช้

สำหรับผู้ชาย

  • เริ่มต้น 20 – 30 mg ต่อวัน
  • ระดับปานกลาง 40 – 60 mg ต่อวัน
  • ระดับสูง 80 – 100 mg ต่อวัน
  • ระดับนักแข่ง 100 – 120 mg ต่อวัน มีเสี่ยงต่อตับ

ใช้ได้ประมาณ 6 – 8 สัปดาห์ เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงต่อตับและสภาวะขาด Testosterone

สำหรับผู้หญิง

  • เริ่มต้น 5 – 10 mg ต่อวัน
  • ระดับปานกลาง 10 – 15 mg ต่อวัน
  • ระดับสูง 20 – 25 mg ต่อวัน แนะนำสำหรับนักกีฬา

ใช้ได้ประมาณ 4 – 6 สัปดาห์

ทำไม Anavar ถึงถูกเรียกว่า ยานายแบบ ?

Anavar ได้รับฉายาว่า ยานายแบบ เพราะเป็นสเตียรอยด์ที่ช่วยให้ร่างกายดู ลีน คม กระชับชัด และมีมวลกล้ามเนื้อที่คุณภาพสูง โดยไม่มีการกักเก็บน้ำหรือทำให้บวมเหมือนสเตียรอยด์ตัวอื่น มันจึงถูกนิยมนำมาใช้ทำหุ่นเหมือนนายแบบ ลืน แห้ง ชัด และเป็นแบบเม็ดกินง่ายพกพาสะดวก

สรุป Anavar ดียังไง ?

  • เพิ่มมวลกล้ามเนื้อแบบคมชัดโดยไม่กักเก็บน้ำ
  • เพิ่มความแข็งแรงและระบบเผาผลาญ
  • ผลข้างเคียงต่ำกว่าสเตียรอยด์ตัวอื่น
  • ไม่ทำให้เกิดอาการหัวนมสาว Gynecomasti

แต่ต้องมีการใช้อย่างระมัดระวัง เพราะอาจะมีการส่งผลต่อตับและระดับฮอร์โมนเพศชาย โดยเฉพาะหากใช้ในปริมาณที่สูง

Bodytech Anavar Oxandrolone

Meditech Anavar Oxandrolone

SARMs กับ Steroid แตกต่างกันยังไงและอะไรดีกว่า ?

SARMs หรือ Selective Androgen Receptor Modulators และ Steroid หรือ Anabolic Androgen Steroids ที่เรียกกันย่อว่า AAS

ทั้ง SARMs และ Steroid คือสารที่ใช้เพื่อเพิ่มมวลกล้ามเนื้อและพละกำลัง แต่มีความแตกต่างกันหลายด้าน เช่น กลไกการทำงาน ผลข้างเคียง และ ความปลอดภัย เรามาเริ่มต้นกันที่กลไกการทำงานกันก่อนครับ

กลไกการทำงานของ SARMs และ Steroid

  • SARMs ทำงานโดยจับกับตัวรับ Androgen Receptors ในเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อและกระดูกเป็นหลัก ทำให้เกิดผล Anabolic Effect โดยมีผลข้างเคียงน้อยกว่า เพราะไม่ได้มีผลกับอวัยวะอื่นมากกว่า Steroid
  • Steroids เป็นฮอร์โมน Testosterone หรือสารที่คล้ายคลึงกัน ซึ่งมีผลต่อร่างกายในหลายระบบ รวมถึงกล้ามเนื้อ อวัยวะเพศ ผิวหนัง และระบบต่อมไร้ท่อ ทำให้มีผลข้างเคียงสูงกว่ามาก

ประสิทธิภาพในการเพิ่มกล้ามเนื้อของ SARMs และ Steroid

  • SARMs สามารถช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อได้ดี แต่ไม่เท่า Steroids อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงมันจะน้อยกว่า
  • Steroids มีประสิทธิภาพในการเพิ่มมวลกล้ามเนื้อและความแข็งแรงสูงกว่า SARMs เนื่องจากเป็นฮอร์โมน Testosterone โดยตรง

ข้อดีและผลข้างเคียงของ SARMs และ Steroid

SARMs ข้อดี

  • ผลข้างเคียงน้อยกว่าและเฉพาะจุดมากกว่า Steroids
  • อาจจะไม่ต้องทำ PCT หรือถ้าทำจะทำน้อยกว่า Steroids

SARMs ข้อเสีย

  • อาจจะมีผลต่อระดับฮอน์โมนเพศชายหากใช้ในปริมาณสูงหรือระยะเวลานาน
  • อาจจะมีผลต่อตับและระดับไขมันในเลือด แต่ขึ้นอยู่กับชนิดของ SARMs ที่ใช้ด้วย

Steroids ข้อดี

  • เพิ่มมวลกล้ามเนื้อและความแข็งแรงได้อย่างรวดเร็ว มากกว่า SARMs หลายเท่า

Steroids ข้อเสีย

  • ยับยั้งการผลิตฮอร์โมนเพศชายตามธรรมชาติทำให้ต้องมีการทำ PCT
  • มีผลต่อตับ ไต หัวใจ และระดับ Choloesterol
  • อาจทำให้เกิดสภาวะ Gynecomastia เต้านมสาว จากการเพิ่มขึ้นของระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน
  • อาจทำให้เกิดสิว ผมร่วง อารมณ์แปรปรวน และ ภาวะซึมเศร้า

SARMs และ Steroid ถูกกฎหมายหรือไม่ ?

  • SARMs แม้จะยังไม่ถูกควบคุมเข้มงวดเท่า Steroids แต่ในหลายประเทศก็เริ่มมีการจำกัดการใช้ โดยเฉพาะในวงการกีฬา
  • Steroids ผิดกฎหมายในหลายประเทศ และมักถูกควบคุมเป็นสารต้องห้ามในกีฬาเพราะมันมีผลต่อการสร้างกล้ามและความแข็งแรงที่สูงมาก พูดง่ายคือใช้แล้วมันโกงกว่าคนอื่น

อะไรดีกว่ากัน SARMs กับ Steroid ?

ถามว่าอะไรดีกว่าตอบเลยว่าขึ้นอยู่กับเป้าหมายและยอมรับความเสี่ยงของมันได้ไหม

  • ถ้าต้องการเพิ่มกล้ามเนื้อแบบดูธรรมชาติ มีผลข้างเคียงให้น้อยที่สุด SARMs ก็จะตอบโจทย์ได้ดีครับ
  • ถ้าต้องการผลลัพธ์ที่สูงมาก หุ่นแบบระดับนักกีฬาเพาะกาย กล้ามใหญ่แน่นมาไว และยอมรับผลข้างเคียงได้ Steroids จะตอบโจทย์ที่สุดครับ

หากต้องการใช้ ควรศึกษาข้อมูลโปรไฟล์ตัวยาแต่ละตัวให้ดีก่อน บางตัวมีข้อดีข้อเสียต่างกัน หากใช้ผิดใช้มั่วอาจจะมีแต่ข้อเสียไม่มีข้อดีเลยก็ได้ครับ

Sarms Combo RAD-140 Testolone

Bodytech Test E 250 Testostorone Enanthate

Recomp ช่วยอะไรและทำยังไง ?

Recomposition หรือที่เราเรียกกันว่า Recomp

Recomp คืออะไรและช่วยอะไร ?

สำหรับมือใหม่หรือมือเก่าอาจจะทราบดีกันอยู่แล้วว่า Recomp มันคือหลักการที่ไว้ใช้สำหรับเพิ่ม Muscle Mass และ Fat Loss ไปในเวลาเดียวกันได้ ผ่านการ Calories Surplus ในวันที่ออกกำลังกาย และ Calories Deficit ในวันที่พัก แต่ผลจะสำเร็จออกมาไหม ก็มีปัจจัยหลายอย่าง เช่น Genetic ที่ดี หรือไม่ก็ต้องเป็นมือใหม่เพราะร่างกายพึ่งประตัว แต่ผ่านจุดนั้นมา มันก็เริ่มยากแล้วครับ หรือมันทำกันได้จริงไหม ทุกวันนี้ก็ยังเถียงกันอยู่ แล้วถ้าเราพอมีตัวช่วยละ มันก็ง่ายสิ

Recomp ทำยังไงและใช้อะไรบ้าง ?

โดยส่วนตัวผมที่จะแนะนำให้ใช้ คือ Long Ester + Short Ester
Long Ester = Anabolic สูง Muscle Mass เยอะมาก
Short Ester = Peak Performance เข้าไว ยาออกง่าย

ซึ่งเอาจริง แค่ Testosterone ก็ทำได้แล้ว เพราะระดับฮอร์โมนที่เพิ่มมากขึ้น BMR ก็จะสูงขึ้นตาม แต่บางคนอยากได้มากกว่านั้นเพราะมีงบเหลือก็ลองดู Stack นี้ครับ

  • Test E + EQ + Tren A

เหตุผลผมเลือก Test E เพราะได้เนื้อเยอะที่สุด เลือก EQ เพราะชอบความเจริญอาหารกับไม่ Aromatise และ Tren A เพราะเป็น Fat Loss ที่ดีมาก เข้าไวและออกไว และที่ไม่เอา Tren E เพราะ Long Ester จะแย่งตัวรับ Androgen กับ EQ ครับ

สัดส่วนการใช้ Test + EQ 1 ต่อ 1 ส่วน Tren A ก็ห้ามสูงกว่า หรือเท่า Test

Test E 500 mg + Eq 500 mg + Tren A 200 mg ควรเสริม Tren A หลังใช้ EQ เกิน 8 Weeks เพราะยามันพีคช้า ถ้ารีบใส่มันจะช้ากว่าเดิม
วิธีการฉีด Test กับ EQ สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ส่วน Tren A ก็ EOD เป็นอย่างน้อย ใครสิวเห่อก็ฉีดทุกวัน และใครตังเยอะ อยากฉีด HGH ก็แล้วแต่ท่านเลยครับ ดีแน่นอน

สรุป Recomp ช่วยอะไรและทำยังไง ?

  • หลักการใช้สำหรับเพิ่ม Muscle Mass และ Fat Loss
  • Test E + EQ + Tren A มีงบเยอะใส่ HGH

Bodytech Test E 250 Testostorone Enanthate

Bodytech EQ 400 Undecylenate

Bodytech HGH 100 Human Growth Hormone

มือใหม่ควรจัด Cycle ยายังไงดี ?

บทความที่ทุกท่านกำลังจะอ่านต่อไปนี้ อาจจะไม่ได้เจาะลึกข้อมูลโปรไฟล์ยาแต่ละตัวมากเท่าไหร่

เพราะงั้นอ่านบทความนี้จบแล้ว อาจจะต้องไปหาข้อมูลตัวยาแต่ละตัวเพิ่มเติมด้วยนะครับ

PEDs (Performance-Enhancing Substances)

พอมีคำว่า Enchane นั่นหมายถึงมีความสามารถในการเพิ่มประสิทธิภาพซึ่งแต่ละชนิดก็แตกต่างกันไป ถ้ารู้ Benefits ของแต่ละชนิดก็จะสามารถดึงประสิทธิภาพของยาออกมาได้อย่างเต็มที่ และประหยัดงบประมาณไปด้วยครับ

มาเริ่มต้นยาที่ต้องบอกว่าใช้ได้ในทุกสถานการณ์

Testosterone Enanthate เป็นยา Basic ที่ยืนพื้นได้นานที่สุดในวงการ เพราะเป็นยาหลักที่ใช้ง่าย และแค่ตัวเดียวก็เปลี่ยนชีวิตได้ด้วยซ้ำ 1-2 ขวดเห็นผล กล้ามเพิ่ม ขนาดเอวลด นอนหลับดี แถม Sex Drive ดีอีกด้วย ใครมีพื้นฐานของกล้ามเนื้อหรือมีโปรแกรมอาหาร โปรแกรมซ้อมที่ดีอยู่แล้ว ก็จะพัฒนาได้ดีอย่างก้าวกระโดดเพียงใช้ Testosterone Enanthate เพียงตัวเดียว

มาถึงบทความหลักของเรากันครับ การจัด Cycle ยายังไงดีให้ตอบโจทย์ในแต่ละช่วง ?

Testosterone Enanthate ตัวเดียวทำได้ทุกอย่างครับ Bulk หรือ Cut ก็ได้เพราะมันคือ Half Away
ยกเว้นจะอยากแห้งจัดแบบหนังติดกล้ามเลย อันนี้อาจจะเกินความสามารถของมันไปหน่อย คงต้องไปตัวที่มี Water Retention น้อยอย่างเช่น Testosterone Propionate

ช่วงเพิ่มกล้ามเนื้อ (Bulking Phase)

เพิ่ม EQ เข้าไปที่แนะนำ EQ เพราะความเจริญอาหารและความหนาแน่นของมวลกล้ามเนื้อ
ผมแนะนำให้ทำ Front Load ด้วยจะได้ไม่ต้องเสียเวลารอยาพีคนาน

ส่วน Deca ใช้เสริมไปใน Cycle ได้ครับ เวลา High Carbs มันทำให้ Strength เพิ่มขึ้นครับ ยกได้หนักขึ้น ใช้ Week 0.25-0.50 ก็ได้ ลดความเสี่ยงของอาการบาดเจ็บ

ยาเม็ดแนะนำเป็น Dianabol (D-BOL) ก็ตอบโจทย์ ราคาถูกแต่ได้ผลมาก ส่วนใครที่ Estergen Sensitive อาจจะต้องพึ่ง T-BOL แทน

ทุกตัวที่กล่าวมาด้านบนสามารถใช้เดี่ยวได้หรือใช้ร่วมกันได้หมดขึ้นอยู่กับการวาง Stack ยกตัวอย่าง

  • Test E + EQ
  • Test E + Deca
  • Test E + EQ + Dianabol

HGH ใช้ได้ในทุกช่วง มีโกรทฮอร์โมนดีเสมอเพราะร่างกาย Hypertrophia Calories ได้ดีขึ้น ลดการสะสม Cal in เป็น Fatty Acid

ช่วงตัดไขมัน (Cutting Phase)

ยาเม็ด Clen + GW-501516 หรือ GW-0742 ที่แนะนำชุดนี้เพราะได้ผลและความคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป Side Effect ที่แสดงออกภายนอกน้อย อธิบายแบบง่าย คือออกกำลังกายเท่าเดิมแต่ไขมันลดมากขึ้น ร่างกายดึงไขมันไปใช้ได้ดีขึ้น

ยาพวก Tren A, Tren E, Tren H
ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลว่ารับ Side Effect ของตัวยาไหนได้บ้าง ถ้าตัวสั้นก็อาจจะฮอร์โมน Swing หน่อย แต่ก็เห็นผลไวเพราะยาพีคเร็วกว่า Long Ester

ยาเสริม Anavar, Stano, HGH ก็ช่วยได้ครับ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการจัด Stack ของแต่ละบุคคล ยกตัวอย่าง

  • Test P + Clen + GW-501516
  • Test P + Clen + GW-501516 + Anavar
  • Test P + Clen + GW-501516 + Anavar + Stano

Bodytech Test E 250 Testostorone Enanthate

Bodytech Test P 100 Testostorone Propionate

เริ่มใช้ยาควรตรวจค่าเลือดอะไรบ้าง ?

การตรวจเลือดเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับคนที่จะเริ่มใช้หรือกำลังใช้ SARMs และ AAS ทุกชนิด

เพราะเราจะได้รู้ว่าร่างกายของเราพร้อมสำหรับการใช้ยามากน้อยแค่ไหน และถ้าใช้ไปแล้วเราจะได้เปรียบเทียบสุขภาพก่อนใช้กับหลังใช้ได้ครับ

รายการตรวจเลือดพื้นฐานสำหรับคนที่ใช้ SARMs และ AAS

  • ค่าความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด Complete Blood Count (CBC)
  • ค่าระดับน้ำตาลในเลือด Fasting Blood Sugar (FBS)
  • ค่าระดับน้ำตาลที่สะสมในเลือด (HbA1c)
  • ค่าระดับไขมัน (Cholesterol)
  • ค่าระดับไขมัน (Triglycerides)
  • ค่าระดับไขมันชนิดดี High-Density Lipoprotein (HDL)
  • ค่าระดับไขมันชนิดไม่ดี Low-Density Lipoprotein (LDL)
  • ค่ากรดยูริกในเลือด (Uric Acid)
  • ค่าการทำงานของตับ (SGPT, SGOT, ALP)
  • ค่าการทำงานของไต (BUN, Creatinine)

รายการตรวจค่าเลือดเพิ่มเติมสำหรับคนที่ใช้ SARMs และ AAS

Testosterone เหมาะสำหรับคนที่ใช้ SARMs และ AAS
ตรวจเพื่อเอาไว้อ้างอิงระดับ Testosterone ก่อนใช้ ระหว่างใช้ และหลังทำ PCT แล้วควรตรวจ Free Testosterone ร่วมด้วยเลยครับ

Estradiol (E2) เหมาะสำหรับคนที่ใช้ AAS
เพื่อเช็คความเสี่ยงในการเกิดไกโน (Gynecomastia) ไม่ว่าจะปัญหาอื่น สิว หรืออารมณ์ทางเพศน้อยลง

ฮอร์โมน LH (Luteinizing Hormone)
เหมาะสำหรับคนที่ใช้ Test กินหรือปัก ต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลานานมากกว่า 16 สัปดาห์
เพื่อตรวจวัดระดับฮอร์โมน LH ว่าระดับต่ำกว่าเกณฑ์หรือไม่ ซึ่งเกิดจากการใช้ Test เป็นเวลานาน ถ้าหากฮอร์โมน LH น้อย ก็ควรได้รับการกระตุ้นด้วย HCG บ้าง

ค่าใช้จ่ายในการตรวจเลือดขึ้นอยู่กับสถานที่ในการตรวจ 1,000-2,000 บาท บวกลบ

Bodytech Test E 250 Testostorone Enanthate

Back to top
X